วันที่ 19 ธันวาคม 2567 เวลา 08.45 น ณ ห้องประชุมปฏิบัติการรถไฟฯ ตึกบัญชาการรถไฟฯ สหภาพภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟฯนำโดยนายสราวุธ สราญวงศ์ ประธานสหภาพฯได้เข้าพบและยื่นหนังสือกับ นายจิรุตม์ วิศาลจิตร ประธานกรรมการรถไฟฯเพื่อให้แก้ไขปัญหาการขาดแคลนอัตรากำลังพนักงานและการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของการรถไฟแห่งประเทศไทยดังนี้

                    ด้วยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๔๑ เห็นชอบมาตรการแก้ไขปัญหาของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ถือปฏิบัติตามมาตรการ ข้อสังเกต และตามความเห็นกระทรวงการคลัง ความเห็นตามมติคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจโดยเคร่งครัด ซึ่งมีมาตรการลดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร ให้มีอัตรากำลังภายในกรอบที่กำหนด โดยภายในวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๕ จะมีพนักงานไม่เกิน ๑๘,๐๑๕ คน และลูกจ้างไม่เกิน ๔,๐๔๖ คน และงดรับพนักงานใหม่ ยกเว้นตำแหน่งเกี่ยวกับการเดินรถและตำแหน่งที่ใช้คุณวุฒิพิเศษ ซึ่งจำเป็นจะต้องมีผู้ปฏิบัติงานดังกล่าว ทั้งนี้จะรับพนักงานได้ไม่เกินร้อยละ ๕ ของจำนวนพนักงานที่เกษียณอายุ  ซึ่งการรถไฟฯได้ปฏิบัติตามมาตรการตามมติคณะรัฐมนตรี โดยลดจำนวนพนักงานจาก 20,031 คน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2541 คงเหลือ 16,540 คน ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2545 ซึ่งต่ำกว่ากรอบที่กำหนดไว้ หลังจากปี 2545 ในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี 28 กรกฎาคม 2541 การรับพนักงานใหม่โดยเฉพาะตำแหน่งที่เกี่ยวกับด้านการเดินรถและตำแหน่งที่ใช้คุณวุฒิพิเศษเช่น พนักงานขับรถ ช่างเครื่อง นายสถานี พนักงานขบวนรถ ช่างซ่อมบำรุง งานด้านโยธา การซ่อมบำรุงทางและระบบอาณัติสัญญาณโทรคมนาคม ซึ่งจำเป็นต้องมีผู้ปฏิบัติงานดังกล่าวได้ ต้องเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีทั้งนี้ไม่เกินร้อยละ ๕ ของจำนวนพนักงานที่เกษียณอายุ ทำให้การรถไฟฯ ประสบปัญหาการขาดแคลนพนักงานด้านปฏิบัติการ จนนำมาสู่การเรียกร้องแก้ปัญหาของรัฐบาลในปี 2555 โดยการรถไฟฯ ได้ ดำเนินการขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2541 เพื่อขอเพิ่มอัตรากำลังพนักงาน จำนวน 2,438 คน ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 17 เมษายน ๒๕55 เห็นชอบการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2541 ตามมาตรการลดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรเพื่อให้การรถไฟฯ สามารถเพิ่มอัตรากำลังพนักงาน จำนวน 2,438 คน ทั้งนี้ให้กระทรวงคมนาคม(การรถไฟฯ) รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้การรถไฟฯบริหารจัดการเพิ่มรายได้ให้สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของรายจ่ายไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย  หลังจากมีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 เมษายน ๒๕55 การรถไฟฯ ได้ดำเนินการรับพนักงานใหม่เพิ่มตามกรอบที่กำหนด จากปี 2555 จนถึงปี 2561 มีพนักงานเกษียณอายุ / ออกจากงานฐานทำงานนาน /ลาออก / เสียชีวิตในระหว่างปฏิบัติงาน ฯลฯ เฉลี่ยปีละกว่า 600 คน และจากเงื่อนไขตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2541 ที่ให้รับพนักงานได้ไม่เกินร้อยละ ๕ ของจำนวนพนักงานที่เกษียณอายุ จึงเป็นผลให้การรถไฟประสบกับปัญหาการขาดแคลนอัตรากำลังพนักงานอีกครั้ง ซึ่งการรถไฟฯ ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาศึกษากรอบอัตรากำลังที่เหมาะสมสอดคล้องกับภารกิจที่จะเพิ่มขึ้นทำเป็นแผนฟื้นฟูกิจการถไฟแห่งประเทศไทยปี ๒๕61 –๒๕70 (แผนระยะ ๑๐ ปี) โดยเสนอขอเพิ่มตามความจำเป็นต้องการกรอบอัตรากำลังบุคลากรของการรถไฟฯ จำนวน ๑๙,๒๔๑ คน ประกอบด้วยพนักงาน จำนวน ๑๖,๖๖๐ คน และลูกจ้าง จำนวน ๒,๕๘๑ คน โดยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 มีมติเห็นชอบให้การรถไฟฯ ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2541 ให้สามารถรับพนักงานเพิ่มได้เฉพาะในปีแรกของกรอบอัตรากำลังฯ (ปี 2562) จำนวนไม่เกิน 1,904 คน แล้วให้การรถไฟฯ นำกรอบอัตรากำลังแผนฟื้นฟูกิจการรถไฟฯ รวมทั้งแนวทางการดำเนินการของการรถไฟตามความเห็นของสำนักงบประมาณเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจตามความจำเป็นและเหมาะสม สำหรับกรอบอัตรากำลังของการรถไฟฯ ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไปให้การรถไฟฯ ดำเนินการให้เป็นไปตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องขอกรอบอัตรากำลังเกินกว่าหลักเกณฑ์ ที่กำหนดไว้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2541 ให้การรถไฟฯ นำเสนอคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจพิจารณาก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป

          ในปัจจุบันจากที่การรถไฟฯได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2541 มีพนักงานที่เกษียณอายุในวันที่ 30 กันยายน 2567 จำนวน 291 คน (ส่วนใหญ่จะเป็นพนักงานด้านปฏิบัติการร้อยละ 76.64) คงเหลือพนักงาน ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2567 เพียง 8,662 คน คิดเป็นร้อยละ 48.08 ของกรอบอัตรากำลังตามมติคณะรัฐมนตรีที่กำหนดไว้ (18,015 อัตรา) และหากการรถไฟฯ จะดำเนินการรับพนักงานใหม่ได้ตามเงื่อนที่กำหนดก็จะรับเพิ่มได้ไม่เกิน 15 คน เมื่อพิจารณาถึงบทบาทหน้าที่ภารกิจหลักของการรถไฟฯ ในปัจจุบันกับการให้บริการประชาชนในการเดินขบวนรถโดยสารจำนวน 250 ขบวน (210/40) และขบวนรถสินค้าจำนวน 211 ขบวน (72/139) รวมทั้งสิ้น 461 ขบวน (ขบวนรถที่เดินทุกวัน/ขบวนรถเดินเมื่อต้องการ) ซึ่งจำเป็นต้องมีพนักงานด้านปฏิบัติการที่เกี่ยวข้อง (ด้านการเดินรถ การซ่อมบำรุง และงานโยธา เช่นพนักงานขับรถ ช่างเครื่อง นายสถานี พนักงานขบวนรถ ช่างซ่อมบำรุง งานด้านโยธา การซ่อมบำรุงทางและระบบอาณัติสัญญาณโทรคมนาคม) รองรับจำนวนกว่า ๔,000 คน ซึ่งเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในการเดินรถ ระบบโครงสร้างพื้นฐาน และรวมถึงฝ่ายสนับสนุนซึ่งมีความจำเป็นในภารกิจที่รองรับเกี่ยวข้องกับด้านสำนักงาน / สวัสดิการให้กับพนักงาน โดยข้อมูลสถิติอัตรากำลังพนักงานการรถไฟฯ ในระยะ 10 ปีข้างหน้า จะมีพนักงานการรถไฟฯ เกษียณอายุการทำงาน 3,067 คน (เป็นพนักงานด้านปฏิบัติการร้อยละ 84.51) สามารถรับพนักงานเพิ่มตามเงื่อนไขมติคณะรัฐมนตรีได้เพียง 153 คน ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการดำเนินการตามภารกิจที่ได้รับมอบจากรัฐบาล สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.) มีวัตถุประสงค์จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ.๒๕๔๓ มาตรา ๔๐ (๔) ดำเนินการและให้ความร่วมมือเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและรักษาผลประโยชน์ของรัฐวิสาหกิจจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๔๑ กำหนดให้งดรับพนักงานใหม่ยกเว้นตำแหน่งที่เกี่ยวกับการเดินรถและตำแหน่งที่ใช้คุณวุฒิพิเศษ ซึ่งจำเป็นต้องมีผู้ปฏิบัติงานดังกล่าวได้ ต้องรับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ รฟท. ทั้งนี้ไม่เกินร้อยละ ๕ ของจำนวนพนักงานที่เกษียณอายุจนทำให้ขณะนี้การรถไฟฯ คงเหลืออัตราพนักงานต่ำกว่าร้อยละ 50 ของอัตราจากกรอบที่ได้รับอนุมัติ แต่ภารกิจหลักในการทำหน้าที่ให้บริการกับประชาชนยังคงมีอยู่และจะมีเพิ่มมากขึ้นในอนาคต จากจำนวนพนักงานที่ลดลงทำให้เกิดผลกระทบโดยตรงต่อการทำงานของพนักงานที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ตรากตรำสะสมเพิ่มมากขึ้น ต้องควงเวรทำงานเกินกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน ปฏิบัติงานในวันหยุดซึ่งมีผลกระทบต่อการพักผ่อนของพนักงานที่สะสมเป็นระยะเวลานาน ส่งผลกระทบต่อปัญหาสุขภาพและเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยในเวลาปฏิบัติหน้าที่ โดยเฉพาะพนักงานที่เกี่ยวข้องกับการเดินรถ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประสิทธิภาพในการให้บริการประชาชนอาจก่อให้เกิดปัญหาเรื่องความปลอดภัยใน การให้บริการด้านการเดินรถส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของการรถไฟฯ และทำให้ต้นทุนภาระค่าใช้จ่ายในส่วนของบุคลากรเพิ่มมากขึ้น เช่น ค่าทำงานวันหยุด ค่าล่วงเวลา ค่าตอบแทนการทำงานเกินกว่าเวลาปกติ ค่ารักษาพยาบาลอันเป็นสาเหตุจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ จากสภาพงานที่ตรากตรำ ทำให้ผู้ปฏิบัติงานเกิดการเจ็บป่วยและเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาบุคลากรในอนาคตอีกด้วย นอกจากนั้น การที่รัฐบาลมีแผนนโยบายการส่งเสริมด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการเพิ่มศักยภาพในการขนส่งภายในประเทศนั้น ซึ่งได้มีการลงทุนในระบบรางโดยมีการก่อสร้างรถไฟทางคู่ที่จะแล้วเสร็จภายในปี ๒๕๗๑ และมีการเปิดเดินขบวนรถเพิ่มทั้งเชิงพาณิชย์และขบวนรถสินค้าเพิ่มขึ้นในหลายเส้นทาง รวมถึงโครงการรถไฟทางคู่สายใหม่ 2 เส้นทางซึ่งจากข้อมูลปัญหาการขาดแคลนอัตรากำลังของพนักงานการรถไฟฯ กับข้อมูลแผนนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาลจะเห็นได้ว่าการปฏิบัติไม่สอดคล้องกับแผนนโยบายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ส่งผลกระทบต่อการให้บริการกับประชาชนและอาจจะทำให้แผนนโยบายการส่งเสริมด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เนื่องจากการให้บริการของการรถไฟฯ ไม่สามารถตอบสนองตามความคาดหวังของรัฐบาลที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ด้วยเหตุนี้สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย(สร.รฟท.) ได้มีการประชุมพิจารณาร่วมกันเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนอัตรากำลังพนักงานการรถไฟฯ และข้อเสนอในการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของการรถไฟฯ ให้คณะกรรมการรถไฟฯ ได้พิจารณาดังนี้

           ๑. พิจารณาเสนอให้กระทรวงคมนาคมผลักดันเร่งรัดให้การรถไฟฯ ได้รับการเพิ่มจำนวนอัตราพนักงานให้เป็นไปตามข้อมูลตามกรอบอัตราของที่ปรึกษาที่ศึกษากรอบอัตรากำลังที่เหมาะสมสอดคล้องกับภารกิจที่จะเพิ่มขึ้นตามความจำเป็นและความต้องการของหน่วยงานต่างๆภายในการรถไฟฯ ตามกรอบอัตรากำลังจำนวนประมาณ ๔,๐๐๐ คน โดยขอให้กระทรวงคมนาคมเสนอยกเลิกเงื่อนไขตามมติคณะรัฐมนตรี ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๔๑ ที่ให้รับพนักงานได้ไม่เกินร้อยละ ๕ ของจำนวนพนักงานที่เกษียณอายุโดยให้การรถไฟฯรับพนักงานใหม่ได้ตามกรอบอัตราที่กำหนดโดยในระยะเร่งด่วนเพื่อให้มีอัตรากำลังมาทดแทนและสามารถทำงานได้ทันที เพื่อรองรับการบรรจุนักเรียนวิศวกรรมรถไฟที่จบการศึกษาในปี 2566 (วรฟ.รุ่น 63 ) ที่ยังไม่มีอัตรารองรับจำนวน 97 คนและเสนอให้บรรจุลูกจ้างเฉพาะงานที่ทำงานกับการรถไฟฯมานานตั้งแต่ ๕ ปีขึ้นไปในตำแหน่งด้านปฏิบัติการที่ใช้ทักษะ ความชำนาญ โดยวิธีทดสอบความสามารถและประเมินผลการทำงาน

           ๒. พิจารณาติดตามเรื่องการเพิ่มรายได้และสภาพคล่องของการรถไฟฯ เพื่อลดภาระการชดเชยของรัฐบาล เสนอให้เร่งรัดการดำเนินการหารายได้ / จัดเก็บรายได้ ของบริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด (SRTA) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของการรถไฟฯ จากการรับมอบสัญญาเช่าที่ดินจากการรถไฟฯ ไปบริหารสัญญาต่อ การนำที่ดินเปล่าที่การรถไฟฯ นำมาให้เช่านำไปเช่าช่วง หรือการพัฒนาที่ดินเปล่าขนาดใหญ่ร่วมกับเอกชน ได้การรถไฟฯ ส่งมอบให้บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด (SRTA) แล้ว รวมถึงการแก้ปัญหาเรื่องการค้างค่าใช้ประโยชน์ที่ดินบริเวณตลาดนัดสวนจตุจักร ของกรุงเทพมหานคร หากกรุงเทพมหานครไม่สามารถชำระค่าใช้ประโยชน์ตามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการบริหารตลาดนัดจตุจักร ระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย และกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ ได้ สร.รฟท.ขอให้คณะกรรมการรถไฟฯเสนอผู้เกี่ยวข้องพิจารณาให้การรถไฟฯนำกลับมาดำเนินการเองโดยบริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด (SRTA)

          ๓. พิจารณาเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับผู้ปฏิบัติงานในการดำเนินการปรับเพิ่มค่าครองชีพให้กับพนักงานและลูกจ้างเฉพาะงานการรถไฟแห่งประเทศไทย ให้สอดคล้องตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๗ และระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวของข้าราชการและลูกจ้างประจำของส่วนราชการ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ.๒๕๖๗ ซึ่งการดำเนินการในการปรับเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวฯเป็นไปตามหนังสือคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ที่ รง.๐๕๐๙/ว.๑๗๔๓ ลงวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เรื่องการจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ ซึ่งกำหนดเป็นขอบเขตสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงิน ตามมาตรา ๑๓ (๒) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ.๒๕๔๓ ที่ให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งสามารถดำเนินการเองได้เมื่อคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจนั้นเห็นชอบแล้ว โดยหลักเกณฑ์การจ่าย อัตราการจ่าย และระยะเวลาบังคับใช้ให้เป็นไปตามระเบียบของกระทรวงการคลังฯ และใช้เงินงบประมาณของแต่ละรัฐวิสาหกิจเอง

ดาวน์โหลดหนังสือยื่นต่อประธานบอร์ดการรถไฟฯได้ที่นี่

By admin